Q3_Lath Facade (5)

ไม้เอ็นจิเนียร์คืออะไร?

ไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood) หรือที่บางครั้งเรียกว่าไม้แปรรูป หรือไม้ประกอบ เป็นวัสดุก่อสร้างและตกแต่งที่ผลิตขึ้นจากส่วนประกอบของไม้ธรรมชาติหลายๆ ชั้นมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างมีระบบ เป็นวัสดุที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขจุดอ่อนของไม้จริง เช่น การยืดหดตัว บิดงอ หรือความไม่คงทนต่อสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง . ไม้เอ็นจิเนียร์จึงเป็นวัสดุทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งในงานก่อสร้าง งานตกแต่งภายใน และการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นและราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าไม้จริง

ไม้เอ็นจิเนียร์แตกต่างจากไม้จริงอย่างสิ้นเชิง โดยมีกระบวนการผลิตที่ซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการนำชิ้นส่วนไม้ต่างๆ มาผ่านกระบวนการแปรรูป และอัดด้วยกาวชนิดพิเศษภายใต้ความร้อนและความดันสูง เพื่อให้ได้วัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน และมีเสถียรภาพมากกว่าไม้จริง ซึ่งกระบวนการนี้ทำให้ไม้เอ็นจิเนียร์สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ ลดการสูญเสียทรัพยากร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนื่องจากสามารถใช้ไม้จากป่าปลูกหรือเศษไม้เหลือใช้ในอุตสาหกรรมมาผลิตได้

ประเภทของไม้เอ็นจิเนียร์

ไม้เอ็นจิเนียร์มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละชนิดก็มีส่วนประกอบและคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ได้ดังนี้:

  • ไม้อัด (Plywood): เป็นประเภทที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี เกิดจากการนำแผ่นไม้บางๆ (Veneer) มาวางสลับเสี้ยนไม้กัน แล้วอัดด้วยกาวและแรงดันสูง มีคุณสมบัติเด่นคือ ทนทานต่อแรงกระแทก และสามารถโค้งงอได้เล็กน้อย นิยมใช้ในงานโครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์ และงานตกแต่งทั่วไป
  • ไม้ปาร์ติเกิล (Particle Board): ผลิตจากเศษไม้ขนาดเล็กที่เหลือจากโรงเลื่อย เช่น ขี้เลื่อย หรือเศษไม้ที่ถูกบดละเอียด มาผสมกับกาวแล้วอัดเป็นแผ่น มีจุดเด่นที่ราคาถูกและมีน้ำหนักเบา แต่มีจุดอ่อนคือ ไม่ทนทานต่อความชื้น และไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความแข็งแรงสูง
  • ไม้ MDF (Medium-Density Fiberboard): เป็นไม้ที่ผลิตจากการนำไม้เนื้อแข็งหรือไม้ยางพารามาบดละเอียดจนเป็นเส้นใย แล้วผสมกาวและอัดเป็นแผ่น มีความหนาแน่นสูงกว่าไม้ปาร์ติเกิล ทำให้มีผิวหน้าเรียบเนียน เหมาะสำหรับงานพ่นสีหรือเคลือบผิว นิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน และงานตกแต่งภายใน
  • ไม้ OSB (Oriented Strand Board): ผลิตจากการนำไม้ขนาดเล็กที่ถูกไสเป็นแผ่นชิ้นๆ (Strands) มาเรียงซ้อนกันหลายๆ ชั้น แล้วอัดด้วยกาวและแรงดันสูง เป็นไม้ที่มีความแข็งแรงสูง ทนทานต่อน้ำและความชื้นได้ดี และมีราคาไม่แพง จึงนิยมใช้ในงานโครงสร้างอาคารและงานพื้น
  • ไม้ปาร์เกต์และลามิเนต (Engineered Parquet and Laminate Flooring): เป็นไม้เอ็นจิเนียร์ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นวัสดุปูพื้นโดยเฉพาะ โดยไม้ปาร์เกต์จะประกอบด้วยชั้นไม้จริงด้านบน ส่วนลามิเนตจะเป็นการพิมพ์ลายไม้ลงบนแผ่นวัสดุสังเคราะห์ ทำให้มีลวดลายและสีสันที่หลากหลาย

ข้อดีของไม้เอ็นจิเนียร์

  • ความคงทนและเสถียรภาพสูง: ไม้เอ็นจิเนียร์มีกระบวนการผลิตที่ควบคุมความชื้นและส่วนประกอบ ทำให้ไม่เกิดปัญหาการบิดงอ ยืดหด หรือแตกร้าวเหมือนไม้จริง ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการใช้งานไม้ธรรมชาติ
  • ความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: การผลิตไม้เอ็นจิเนียร์ช่วยลดการตัดไม้จากป่าธรรมชาติ เนื่องจากสามารถใช้เศษไม้เหลือใช้ หรือไม้จากป่าปลูกมาเป็นวัตถุดิบได้
  • ราคาที่เข้าถึงได้ง่าย: ไม้เอ็นจิเนียร์มีราคาถูกกว่าไม้จริงที่มีความสวยงามใกล้เคียงกัน ทำให้เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ต้องการวัสดุไม้แต่มีงบประมาณจำกัด
  • ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์: ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย ทำให้ไม้เอ็นจิเนียร์สามารถผลิตเป็นแผ่นขนาดใหญ่ หรือมีลวดลายและสีสันที่หลากหลายตามความต้องการของนักออกแบบและผู้บริโภค
  • การดูแลรักษาที่ง่าย: ผลิตภัณฑ์ไม้เอ็นจิเนียร์ส่วนใหญ่มีการเคลือบผิวหน้า ทำให้ทำความสะอาดง่าย และทนทานต่อรอยขีดข่วนได้ดี

ข้อเสียของไม้เอ็นจิเนียร์

  • ความทนทานต่อน้ำและความชื้น: แม้ไม้เอ็นจิเนียร์จะถูกออกแบบมาเพื่อลดปัญหานี้ แต่หลายประเภทของไม้เอ็นจิเนียร์ เช่น ไม้ปาร์ติเกิล หรือไม้ MDF ยังคงอ่อนไหวต่อความชื้น หากโดนน้ำสะสมเป็นเวลานานอาจทำให้บวมหรือเสียหายได้
  • อายุการใช้งาน: โดยทั่วไปแล้ว ไม้เอ็นจิเนียร์มีอายุการใช้งานสั้นกว่าไม้จริงบางชนิด และอาจไม่สามารถซ่อมแซมได้ง่ายเท่าไม้จริงในกรณีที่เกิดความเสียหาย
  • กาวและสารเคมี: การผลิตไม้เอ็นจิเนียร์ต้องใช้กาวและสารเคมีบางชนิด ซึ่งบางครั้งอาจมีส่วนผสมของสารฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) ซึ่งเป็นสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ หากไม่เลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน

การเลือกใช้ไม้เอ็นจิเนียร์ให้เหมาะสมกับงาน

การเลือกใช้ไม้เอ็นจิเนียร์ต้องพิจารณาจากประเภทของงานและสภาพแวดล้อมที่ใช้งานเป็นหลัก .

  • งานโครงสร้าง: หากต้องการวัสดุที่แข็งแรงทนทาน เช่น งานพื้นหรือผนัง ควรเลือกใช้ ไม้ OSB หรือ ไม้อัด ที่มีคุณภาพสูง เพราะสามารถรับน้ำหนักและทนต่อแรงกระแทกได้ดี
  • งานตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์: สำหรับงานเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน ชั้นวางของ หรือตู้เสื้อผ้า ควรเลือกใช้ ไม้ MDF เนื่องจากมีผิวเรียบเนียน เหมาะสำหรับการเคลือบผิวและพ่นสี ทำให้ได้งานที่สวยงามประณีต
  • งานพื้น: การปูพื้นควรเลือกใช้ ไม้ปาร์เกต์เอ็นจิเนียร์ หรือ ไม้ลามิเนต ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานหนักและทนต่อรอยขีดข่วน
  • งานตกแต่งทั่วไป: สำหรับงานที่ไม่ต้องการความแข็งแรงมากนัก และมีงบประมาณจำกัด สามารถเลือกใช้ ไม้ปาร์ติเกิล ซึ่งเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและหาง่ายในท้องตลาด

ไม้เอ็นจิเนียร์เป็นนวัตกรรมที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมก่อสร้างและตกแต่งได้อย่างลงตัว ด้วยคุณสมบัติที่เหนือกว่าไม้จริงในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความคงทน ความหลากหลาย และราคาที่เข้าถึงง่าย อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ไม้เอ็นจิเนียร์ให้เหมาะสมกับประเภทของงานและสภาพแวดล้อมที่ใช้งานจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ของความสวยงาม ความทนทาน และความคุ้มค่า ซึ่งการทำความเข้าใจคุณสมบัติของไม้แต่ละประเภท จะทำให้เราสามารถใช้งานไม้เอ็นจิเนียร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

Reference