Q3_Lath Facade (5)

การเลือกซื้อไม้เอ็นจิเนียร์

การเลือกซื้อไม้เอ็นจิเนียร์: คู่มือฉบับสมบูรณ์เพื่อการตัดสินใจที่คุ้มค่า

ในโลกของวัสดุก่อสร้างและตกแต่ง ไม้เอ็นจิเนียร์ (Engineered Wood) ได้กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักออกแบบและเจ้าของบ้าน ด้วยคุณสมบัติที่ทนทาน สวยงาม และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่การจะเลือกซื้อไม้เอ็นจิเนียร์ให้ได้คุณภาพและคุ้มค่าที่สุดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกมากมายในตลาด บทความนี้จะทำหน้าที่เป็นคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่ควรพิจารณา ตั้งแต่ประเภทของไม้ คุณภาพ ไปจนถึงการติดตั้ง เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อไม้เอ็นจิเนียร์ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแท้จริง

  1. ทำความเข้าใจประเภทของไม้เอ็นจิเนียร์

ขั้นตอนแรกของการเลือกซื้อคือการทำความเข้าใจประเภทของไม้เอ็นจิเนียร์ที่มีอยู่ในตลาด เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับงานและงบประมาณ

  • ไม้ปาร์เกต์เอ็นจิเนียร์ (Engineered Parquet): เป็นไม้เอ็นจิเนียร์ที่มีชั้นบนสุดเป็นไม้จริง (เช่น ไม้โอ๊ค ไม้สัก) และมีชั้นฐานเป็นไม้อัดหรือไม้เนื้อแข็งบางๆ ที่ซ้อนกันหลายชั้น คุณสมบัติเด่นคือให้ความรู้สึกและสัมผัสเหมือนไม้จริงแท้ๆ และสามารถขัดผิวและทำสีใหม่ได้เมื่อใช้งานไปนานๆ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความหรูหราและความสวยงามของไม้จริงแต่ต้องการความคงทนที่มากกว่า
  • ไม้ลามิเนต (Laminate Flooring): ไม่ใช่ไม้จริงแต่เป็นวัสดุที่เลียนแบบไม้ โดยมีชั้นบนสุดเป็นภาพพิมพ์ลายไม้ที่ถูกเคลือบด้วยเรซินเมลามีน ทำให้มีความทนทานต่อรอยขีดข่วนและคราบสกปรกสูงมาก มีความหลากหลายของลวดลายและสีสัน และมีราคาที่ถูกกว่าไม้เอ็นจิเนียร์ชนิดอื่น เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการใช้งานหนักและต้องการงบประมาณที่จำกัด
  • ไม้ MDF (Medium-Density Fiberboard): ผลิตจากเส้นใยไม้และกาวที่อัดแน่นจนเป็นแผ่น มีผิวหน้าที่เรียบเนียนมาก ทำให้เหมาะสำหรับงานพ่นสี งานทำเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน และงานตกแต่งภายในที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมาก
  • ไม้ OSB (Oriented Strand Board): ผลิตจากการนำเศษไม้ขนาดเล็กมาเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทำให้มีความแข็งแรงสูงและทนทานต่อน้ำได้ดีกว่าไม้ปาร์ติเกิล นิยมใช้ในงานโครงสร้างอาคารและงานพื้น

2. ตรวจสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์

เมื่อทราบประเภทที่ต้องการแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการตรวจสอบคุณภาพของไม้เอ็นจิเนียร์แต่ละแผ่น ซึ่งสามารถดูได้จากปัจจัยดังต่อไปนี้:

  • ความหนาของชั้นไม้จริง (สำหรับไม้ปาร์เกต์เอ็นจิเนียร์): ยิ่งชั้นไม้จริงมีความหนามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถขัดและทำสีใหม่ได้หลายครั้งเท่านั้น ซึ่งหมายถึงอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ความหนามาตรฐานที่แนะนำคือ 3-5 มม. หากบางเกินไปอาจไม่คุ้มค่าในระยะยาว
  • มาตรฐานการปล่อยสารฟอร์มาลดีไฮด์: สารฟอร์มาลดีไฮด์เป็นสารเคมีที่ใช้ในการผลิตกาว ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้หากมีปริมาณสูงเกินไป ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผ่านมาตรฐานการควบคุมสารเคมี เช่น มาตรฐาน E0 หรือ E1 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่รับรองว่ามีการปล่อยสารเคมีในระดับที่ปลอดภัย
  • ความหนาแน่นและน้ำหนัก: ไม้เอ็นจิเนียร์ที่มีความหนาแน่นสูงจะมีน้ำหนักมากกว่าและมีความแข็งแรงทนทานมากกว่า โดยเฉพาะไม้ MDF และ HDF ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพของเส้นใยไม้ที่ใช้และกระบวนการอัดที่ได้มาตรฐาน
  • การเคลือบผิว: ควรตรวจสอบว่ามีการเคลือบผิวหน้าด้วยสารที่มีคุณภาพหรือไม่ การเคลือบผิวที่ดีจะช่วยปกป้องไม้จากรอยขีดข่วน ความชื้น และคราบสกปรกได้ดีกว่า

3. พิจารณาตามการใช้งานและสภาพแวดล้อม

การเลือกซื้อไม้เอ็นจิเนียร์ที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและลักษณะการใช้งานของพื้นที่เป็นหลัก

  • ห้องนอนและห้องนั่งเล่น: สำหรับห้องที่ต้องการความอบอุ่นและให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ ไม้ปาร์เกต์เอ็นจิเนียร์ เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม ส่วน ไม้ลามิเนต ก็เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและทนทานสำหรับห้องนั่งเล่นที่อาจมีการใช้งานหนัก
  • ห้องครัวและพื้นที่ที่มีความชื้นสูง: ควรเลือกใช้ไม้เอ็นจิเนียร์ที่มีคุณสมบัติทนน้ำและความชื้นสูง เช่น ไม้ลามิเนต ที่มีแกน HDF กันน้ำ หรือ ไม้ OSB ที่ออกแบบมาสำหรับงานโครงสร้างที่ต้องสัมผัสกับความชื้น
  • สำนักงานและพื้นที่เชิงพาณิชย์: สำหรับพื้นที่ที่มีการสัญจรไปมาสูง ควรเลือกใช้ไม้ลามิเนตที่มีค่า AC Rating (Abrasion Class Rating) ตั้งแต่ AC3 ขึ้นไป ซึ่งหมายถึงความทนทานต่อการขีดข่วนและการสึกหรอในระดับสูง .
  • การใช้งานภายนอกอาคาร: ไม้เอ็นจิเนียร์ส่วนใหญ่ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานภายนอกอาคาร เนื่องจากความชื้นและแสงแดดอาจทำให้ไม้เสียหายได้อย่างรวดเร็ว

4. การพิจารณาผู้ผลิตและการติดตั้ง

การเลือกซื้อจากผู้ผลิตและผู้ขายที่เชื่อถือได้ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ในคุณภาพและบริการหลังการขาย

  • ผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง: ควรเลือกซื้อจากบริษัทที่มีชื่อเสียงและมีประวัติยาวนานในอุตสาหกรรม เพราะมักจะมีมาตรฐานการผลิตที่สูงและมีการรับประกันสินค้าที่ชัดเจน
  • บริการติดตั้งมืออาชีพ: การติดตั้งเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ไม้เอ็นจิเนียร์ใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ การติดตั้งที่ไม่ดีอาจทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ไม้โก่งตัว หรือเกิดช่องว่างที่รอยต่อ ควรเลือกใช้ช่างที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในการติดตั้งไม้เอ็นจิเนียร์โดยเฉพาะ
  • การรับประกัน: สอบถามเกี่ยวกับการรับประกันสินค้าและบริการหลังการขายให้ชัดเจน เช่น การรับประกันวัสดุ การรับประกันการติดตั้ง และเงื่อนไขการเคลมในกรณีที่สินค้ามีปัญหา

การเลือกซื้อไม้เอ็นจิเนียร์เป็นการลงทุนในความสวยงามและความคงทนของบ้านหรืออาคาร การตัดสินใจอย่างรอบคอบโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเภทของไม้ คุณภาพ การใช้งาน และการติดตั้ง จะช่วยให้คุณได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและใช้งานได้อย่างคุ้มค่าในระยะยาว อย่ารีบร้อนในการตัดสินใจ แต่ควรใช้เวลาในการศึกษาข้อมูล เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ไม้เอ็นจิเนียร์ที่สร้างความสุขและความพึงพอใจให้กับคุณไปอีกนานหลายปี

Reference